แนวข้อสอบ เสมียนเบิกจ่ายพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ปี 2567
แนวทางการตรวจสอบบัญชีของส่วนราชการ
1. ประเภทของบัญชี มีอะไรบ้าง
ตอบ ๑. บัญชีเงินสดในมือ ๒.บัญชีพักเงินนาส่ง ๓. บัญชีพักรอ Clearing
๔. บัญชีเงินฝากธนาคาร(เงินงบประมาณ)หรือบัญชีเงินฝากธนาคาร(เงินนอกงบประมาณ)
๕. บัญชีค้างรับจากกรมบัญชีกลาง ๖. บัญชีลูกหนี้เงินยืมในงบประมาณหรือบัญชีลูกหนี้เงินยืมนอกงบประมาณ ๗. บัญชีลูกหนี้ส่วนราชการ-รายได้รับแทนกันหรือบัญชีเจ้าหนี้ส่วนราชการ-รายได้รับ ๘. บัญชีเจ้าหนี้การค้า-บุคคลภายนอก ๙. บัญชีรับสินค้า/ใบสาคัญ ๑๐. บัญชีใบสำคัญค้างจ่าย ๑๑. บัญชีภาษีหัก ณ ที่จ่ายรอนาส่ง (ระบุประเภท)
๑๒. บัญชีเบิกเกินส่งคืนรอนาส่ง
2. บัญชีประเภทใดที่ใช้เพื่อตรวจสอบการรับและนำส่งเงินรายได้แผ่นดินหรือเงินนอกงบประมาณรวมทั้งการรับและจ่ายเงินนอกงบประมาณที่ได้รับอนุญาตให้ฝากธนาคารพาณิชย์ที่ถืออยู่ในรูปเงินสด
ตอบ บัญชีเงินสดในมือ
3. บัญชีประเภทใดที่ใช้เพื่อตรวจสอบการนาส่งเงินสดที่ บมจ.ธนาคารกรุงไทยและการบันทึกข้อมูลนาส่งเงิน
ตอบ บัญชีพักเงินนำส่ง
4. บัญชีประเภทใดที่ใช้เพื่อตรวจสอบการนาส่งเงินเป็นเช็คที่บมจ.ธนาคารกรุงไทยและการบันทึกข้อมูลนาส่งเงิน
ตอบ บัญชีพักรอ Clearing
5. บัญชีเงินฝากธนาคาร(เงินงบประมาณ)หรือบัญชีเงินฝากธนาคาร(เงินนอกงบประมาณ) ใช้เพื่ออะไร
ตอบ เพื่อตรวจสอบการรับเงินตามรายการขอเบิกเงินที่กรมบัญชีกลางโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของส่วนราชการ เพื่อนาเงินไปจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงินต่อไป และการบันทึกรายการขอจ่ายเงินในระบบ GFMIS หลังจากที่ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน
6. บัญชีค้างรับจากกรมบัญชีกลาง ใช้เพื่ออะไร
ตอบ เพื่อตรวจสอบการรับรู้บัญชีรายได้ค้างรับที่เกิดจากรายการขอเบิกเงินเข้าบัญชีส่วนราชการ เพื่อนาเงินไปจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน และการลดยอดบัญชีรายได้ค้างรับ
เมื่อกรมบัญชีกลางโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของส่วนราชการ
7. บัญชีประเภทใดที่ใช้เพื่อตรวจสอบการจ่ายเงินให้ลูกหนี้เงินยืมและการส่งใช้คืนเงินยืมเป็นเงินสดและหรือใบสำคัญ
ตอบ บัญชีลูกหนี้เงินยืมในงบประมาณหรือบัญชีลูกหนี้เงินยืมนอกงบประมาณ
8. บัญชีประเภทใดที่ใช้เพื่อตรวจสอบการรับและการนำส่งเงินรายได้แผ่นดินหรือเงินนอกงบประมาณแทนส่วนราชการอื่น
ตอบ บัญชีลูกหนี้ส่วนราชการ-รายได้รับแทนกันหรือบัญชีเจ้าหนี้ส่วนราชการ-รายได้รับ
แทนกัน
9. บัญชีประเภทใดที่ใช้เพื่อตรวจสอบการบันทึกรายการขอเบิกเงินและการ
จ่ายชาระเงินให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้มีสิทธิรับเงิน
ตอบ บัญชีเจ้าหนี้การค้า-บุคคลภายนอก
10. บัญชีประเภทใดที่ใช้เพื่อตรวจสอบการตรวจรับงานตามใบสั่งซื้อสั่งจ้างในระบบGFMIS และการบันทึกรายการขอเบิกเงินเพื่อจ่ายชาระหนี้
ตอบ บัญชีรับสินค้า/ใบสำคัญ
ถาม - ตอบ การบริหารแผนงาน และการบริหารงบประมาณ
1. การบริหารแผนงานมีความสำคัญต่อระบบบริหารจัดการ อย่างไร
ตอบ บริหารแผนและการนำแผนไปปฏิบัติเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องจากการวางแผน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบบริหารจัดการ เนื่องจากการบริหารแผนและการนำแผนไปปฏิบัติเป็นการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมจากการวางแผนโดยนำมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมเพื่อบอกถึงผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินการ ผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการบริหารแผนและการนำแผนไปปฏิบัติจึงเป็นตัวชี้วัดว่าองค์การมีระบบการบริหารแผนและการนำแผนไปปฏิบัติที่มีทั้งประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
การออกแบบระบบในการบริหารแผนขององค์การเป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องดำเนินการ ซึ่งระบบการบริหารแผนจะต้องมีความสอดคล้องและมีความสัมพันธ์กับแผนงานที่ได้วางเอาไว้ ระบบในการบริหารแผนเป็นกระบวนการภายในองค์การอันได้แก่ โครงสร้างการบริหารงาน ระบบการไหลเวียนของงาน การนำองค์การ การควบคุมกำกับและติดตาม เมื่อออกแบบระบบการบริหารแผนแล้วขั้นตอนต่อไปจะเป็นการนำเอาแผนไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัดที่ได้กำหนดไว้ อย่างไรก็ดีระบบการบริหารแผนและการนำแผนไปปฏิบัติมิได้เป็นอิสระจากกันแต่อย่างใด ระบบทั้งสองระบบต่างก็สนับสนุน สัมพันธ์และเสริมซึ่งกันและกัน
ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ของแผนงานจะเกิดขึ้นได้จึงขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์และออกแบบระบบการบริหารแผนให้สัมพันธ์สอดคล้องกับบริบทขององค์การและพลวัตทางการจัดการ
2. ท่านคิดว่าการจัดการร่วมสมัย มีผลต่อสภาวะแวดล้อมภายนอก อย่างไร
ตอบ การจัดการองค์การปัจจุบันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสภาวะแวดล้อมภายนอกมาก ซึ่งเป็นผลให้องค์การต้องพัฒนาแนวคิดทางการจัดการที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา หนึ่งในสภาวะแวดล้อมที่สำคัญคือ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำหน้าเป็นปัจจัยสำคัญทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วมาก จึงเป็นภาระหน้าที่หลักของผู้บริหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในทุกระดับชั้นที่ต้องให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นในทุกมิติ มิฉะนั้นแล้วการจัดการเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การที่กำหนดไว้อาจไม่สัมฤทธิ์ผล ยิ่งกว่านั้นการละเลยการให้ความสำคัญในเรื่องการจัดการร่วมสมัยอาจทำให้องค์การสูญเสียความได้เปรียบในการบริหารจัดการหรือการแข่งขันที่เคยมีเหนือกว่าคู่แข่งในลักษณะงานแบบเดียวกันได้ เพราะขาดการพัฒนาการจัดการตัวเองให้มีความร่วมสมัยกับสภาวะแวดล้อมต่างๆ ที่เปลี่ยนไป
การพัฒนาระบบแนวคิดการจัดการองค์การให้เกิดความลงตัวกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ทุก องค์การต้องสร้างให้เกิดขึ้น การพัฒนาดังกล่าวควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในเชิงบูรณาการ (Integration) โดยเป็นการประยุกต์ใช้ที่นำมาผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ของนักวิชาการ นักบริหารในทุกระดับชั้นก่อนนำไปสู่การปฏิบัติ สิ่งแวดล้อมที่ต้องตระหนักถึงให้มากที่สุดคือภาวะโลกาภิวัฒน์และสภาพการบูรณาการของกลุ่มประเทศต่างๆทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ดังจะเห็นได้จากพลวัต(Dynamic) ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทั้งในระดับประเทศ และองค์การภาครัฐและเอกชนเป็นอย่างมาก ซึ่งหากองค์การละเลยอาจมีผลในเชิงลบต่อองค์การได้
การตอบสนองจำต้องกระทำอย่างรวดเร็วโดยใช้สารสนเทศ (Information) และความรู้ (Knowledge) ที่ถูกต้องภายใต้ความเข้าใจที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการกำหนดอนาคตองค์การ หากองค์การสามารถวิเคราะห์ความเชื่อมโยงและพยากรณ์ทิศทางการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแม่นยำย่อมจะก่อให้เกิดความได้เปรียบในการบริหารจัดการ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นยากที่องค์การหนึ่งองค์การตอบสนองได้
3. กรอบแนวคิดในทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับองค์การภาครัฐที่จะมุ่งสู่ความเป็นเลิศ ควรเป็นอย่างไร
ตอบ กรอบแนวคิดในทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับองค์การภาครัฐที่จะมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Excellence) ควรเป็น ดังนี้
1.พัฒนารูปแบบบริการใหม่ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในองค์การได้อย่างเต็มที่โดยเน้นการเพิ่มคุณค่าให้กับบริการ โดยพัฒนาจากพื้นฐานที่เข้มแข็งขององค์การการสร้างคุณค่ารูปแบบบริการใหม่จึงควรเป็นตัวแปรที่บูรณาการไว้ในรูปแบบบริการทุกประเภทและควรมีรูปแบบระบบในอนาคต
2.การสร้างประโยชน์จากศักยภาพที่มีอยู่ เกิดขึ้นได้โดยสร้างเครือข่ายความร่วมมือกันภายในองค์การและพัฒนาพลวัตองค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้จากการพัฒนาองค์การเพื่อสร้างความเข้มแข็งในการบริหารจัดการ
3. การสร้างประโยชน์จากความหลากหลาย เป็นการค้นหาความหลากหลายขององค์การให้สามารถสร้างคุณค่าแก่ผู้รับบริการโดยวิเคราะห์จากความแตกต่างและความหลากหลายที่องค์การมีศักยภาพอยู่แล้ว
4. แสวงหาลู่ทางบริหารทางตรงและทางอ้อม เพื่อเป็นการสร้างและพัฒนาระบบงานสู่ความยั่งยืนได้แทนที่ระบบบริการแบบเดิมที่เคยดำเนินการมา
5. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการจัดการแบบร่วมสมัย โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างตลอดเวลา ไม่ยึดติดอยู่กับความสำเร็จในอดีต เป็นการดำเนินงานด้วยการใช้องค์ความรู้เป็นปัจจัยนำไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินงานทุกมิติด้วยการปรับให้ดำเนินงานให้มีความร่วมสมัยและลงตัวกับสถานการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงทั้งนี้กระทำได้ด้วยการส่งเสริมให้มีบรรยากาศและวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกของความคิดสร้างสรรค์ที่ช่วยกระตุ้นให้การดำเนินงานมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าระดับมาตรฐานในระดับเดียวกัน
4. ท่านคิดว่าแนวทางที่จะพัฒนาองค์การสู่ความเป็นเลิศและยั่งยืนควรมีแนวทางในการพัฒนา อย่างไร
ตอบ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในปัจจุบันมีความรุนแรงมากกว่าในอดีต ที่เคยบริหารจัดการตามระบบแนวคิดแบบโบราณที่มุ่งให้ความสนใจในสิ่งที่ตนผูกขาดอยู่มากกว่าที่จะหาวิธีบริหารจัดการแบบใหม่ๆ การเรียนรู้จากองค์การภายนอกทั้งที่ประสบความสำเร็จและความล้มเหลว จึงจะเป็นหนทางพัฒนาตนเองโดยเฉพาะการปรับระบบแนวคิดทางการจัดการให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น เพราะไม่เพียงแต่ทำให้การจัดการที่ดำเนินงานอยู่แล้วเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง แล้วยังทำให้สามารถสร้างประโยชน์จากโอกาสในการดำเนินงานด้านอื่นๆ อีกด้วย
แนวทางที่จะพัฒนาองค์การสู่ความเป็นเลิศและยั่งยืนควรมีแนวทางในการพัฒนา ดังนี้
1.การพัฒนาตัวเองออกจากกับดักความคิดเก่าที่มีผลทำให้การขยายงาน หรือการสร้างการเจริญเติบโตให้กับองค์การมีข้อจำกัด
2.การพัฒนาให้เกิดความลงตัวในการประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก โดยเน้นการสร้างความร่วมมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. การปรับปรุงพัฒนาออกแบบโครงสร้างและระบบขององค์การที่สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตนเอง
4. การให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและความรวดเร็วในการบริหารกรอบความคิดในเชิงปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับองค์การ
5. กรอบแนวคิดในเชิงปฏิบัติที่เหมาะสม ท่านคิดว่าควรประกอบไปด้วยสิ่งใดบ้าง
ตอบ 1. ความรู้ (Knowledge) ความคิดหรือความรู้ใหม่ที่ล้ำหน้าเป็นสิ่งที่องค์การที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้น ซึ่งควรเป็นความรู้ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญนำไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณค่าความแตกต่างจากคู่แข่งขันคุณภาพ
2. ความสามารถ (Competence) องค์การควรทำการวิเคราะห์หาแก่นความสามารถหลักที่มีอยู่ขององค์การ ทั้งนี้จะต้องนำมาเจียระไนให้เกิดการแสดงออกถึงคุณภาพ ภาพลักษณ์ และนวัตกรรมองค์การที่นำมาสู่ผู้รับบริการ
3. ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) ควรมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดทักษะในเชิงวิชาการและทักษะการเป็นผู้ประกอบการ
4. เครื่องมือ (Tools) เป็นการศึกษาทางเครื่องมือที่เป็นเทคนิควิธี กระบวนการการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อพัฒนาความลงตัวทางการจัดการที่เหมาะสมกับองค์การ เช่น Reengineering และ Balanced scorecard เป็นต้น
6. ให้อธิบายเกี่ยวกับ การจัดการในเชิงพลวัต
ตอบ เนื่องจากองค์การไม่แน่ใจว่าการพัฒนาการจัดการในรูปของการจัดการในเชิงก้าวหน้าจะสามารถยืนยันความสำเร็จได้ เพราะว่าเป็นการพัฒนาจากทรัพยากร และแก่นความสามารถที่เป็นปัจจัยภายในทั้งสิ้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอ แนวคิดการจัดการแบบร่วมสมัยจึงได้ถูกพัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นแนวคิดที่พยายามปิดช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดการแบบก้าวหน้า โดยใช้หลักการในการศึกษาที่มองจากทั้งภายในและภายนอกองค์การ เพื่อแสวงหากลยุทธ์ความได้เปรียบในการแข่งขันใหม่ ที่นำเอาความรู้ที่สะสมไว้ในองค์การออกมาใช้ผ่านกลไกขององค์การที่มีความสามารถในการนำเอาแนวคิดนั้นมาสร้างให้เกิดคุณค่าด้วยการออกแบบระบบ โครงสร้าง และกระบวนการที่ทำให้ปัจจัยที่มีอยู่เกิดความลงตัวในการสร้างให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ
ในลำดับต่อมาเป็นการศึกษาถึงปัจจัยที่จะช่วยผลักดันไปสู่ความสำเร็จที่เป็นปัจจัยภายนอกมาประกอบใช้ด้วยโดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายการจัดการที่ได้ศึกษาตัวแปรสำคัญหลายตัวแปรที่เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์พิเศษ ข้อมูลข่าวสารและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ทำให้เข้าใจถึงเคล็ดลับความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะความสำเร็จของเครือข่ายการจัดการ ในประเด็นสุดท้ายคือการเพิ่มพลังให้กับความรู้ขององค์การที่มีอยู่ในรูปแบบต่างๆ โดยรวมถึงความรู้พิเศษที่ต้องหามาเพิ่มให้กับองค์การ ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่องค์การต้องให้ความสนใจมากขึ้นคือ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ให้เกิดขึ้นจากข้อมูลดิบ และข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของตัวเอง ทั้งนี้ต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นเป็นองค์ความรู้ที่สามารถสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การและผู้รับบริการ
จากกรอบแนวคิดที่ได้สังเคราะห์ขึ้นจากการวิเคราะห์การจัดการองค์การทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ทำให้สามารถกำหนดแนวทางสู่ความสำเร็จได้เป็นหัวข้อดังต่อไปนี้คือ
1. การให้ความสำคัญกับความรู้สะสมที่องค์การมีอยู่
2. มีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ไปยังองค์การอื่นทั้งในระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ
3. การเปิดโอกาสให้การจัดการมีการแข่งขันระหว่างกันมากขึ้นทั้งในระดับองค์การและระหว่างองค์การทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
7. การควบคุมที่มีความสำคัญต่อการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ ในอนาคตองค์การจะต้องเตรียมการรองรับในลักษณะ ใดบ้าง
ตอบ วัตถุประสงค์สำคัญในการจัดการองค์การส่วนใหญ่มุ่งเน้นการสร้างองค์การให้มีการเติบโตที่มั่นคงและเข้มแข็ง การควบคุมเข้ามามีความสำคัญต่อการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งในอนาคตองค์การจะต้องเตรียมการรองรับในลักษณะดังนี้
1) ลักษณะขององค์การในอนาคต
1.1 มีขนาดเล็กที่มีความแข็งแกร่งและมีความคล่องตัวสูง
1.2 เป็นองค์การที่มีลักษณะการขยายตัวทั้งในแนวดิ่งและแนวราบเพื่อขยายภารกิจให้ครอบคลุมทุกด้านเหมือนการขยายตัวเป็นวงกลม
1.3 จากการที่เน้นการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวที่มีความเหมือนกันตลอดทั้งองค์การควรจัดการสร้างความแตกต่างที่พัฒนาออกจากแก่นการจัดการ
1.4 จากองค์การที่มีอำนาจเหนือกว่า ขนาดใหญ่กว่า ควรมีการปรับเปลี่ยนเป็นองค์การที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะที่มีการพัฒนาความสามารถเฉพาะที่ชัดเจนในลักษณะมืออาชีพ
1.5 เป็นองค์การที่ตระหนักและเน้นความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญา
2) ระบบการควบคุมองค์การที่เหมาะสมในอนาคต
2.1 การสร้างให้เกิดการควบคุมกระบวนการด้วย Balanced Scorecard
2.2 การควบคุมเชิงบูรณาการโดยใช้ระบบสารสนเทศ
2.3 การสร้างระบบการควบคุมแบบแมทริกซ์ โดยควบคุมให้เกิดคุณค่าความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการบริหารเชิงรุกกับกิจกรรมภายในองค์การ
8. องค์การที่บริหารตนเอง เป็นองค์การลักษณะใด และมีแนวคิดที่สำคัญคืออะไร
ตอบ องค์การที่บริหารตนเอง (Self-Organization) คือ องค์การที่สามารถทำงานโดยอัตโนมัติกล่าวคือเมื่อพบปัญหาสามารถแก้ปัญหาได้เอง และบริหารงานได้เองเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายโดยไม่ต้องรอรับคำสั่งในการดำเนินงานในแต่ละครั้ง เปรียบเทียบได้กับหลอดไฟที่ติดตั้งบนเสาตามท้องถนนที่จะปิดเปิดโดยอัตโนมัติ กล่าวคือ เมื่อท้องฟ้ามืดลง หลอดไฟก็จะเปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ และเมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้นหลอดไฟก็จะปิดลง
องค์การบริหารตนเอง เป็นองค์การที่มีความสามารถในการทำงานอย่างอิสระ มีการตอบสนองโดยอัตโนมัติต่อปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าเพื่อให้องค์การบรรลุจุดมุ่งหมายโดยไม่ต้องรอรับคำสั่งจากเบื้องบนหรือผู้บริหาร
องค์การบริหารตนเอง ใช้หลักการจัดการตนเอง (Self-management) ซึ่งเป็นหลักการการเรียนรู้ เพื่อจัดการกับพฤติกรรมของตนเอง อันทำให้การควบคุมจากภายนอกลดความจำเป็นลง (Hackman, 1986)
องค์การบริหารตนเอง มีลักษณะใกล้เคียงกับองค์การเสมือนสมองซึ่งเสนอโดยมอร์แกน (Morgan, 1997) ซึ่งเป็นลักษณะการเปรียบเทียบการทำงานขององค์การซึ่งได้นำลักษณะพิเศษของสมองมาใช้ คือ ความยืดหยุ่นปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ และการประสานสัมพันธ์ระหว่างเซลแต่ละเซลในสมอง อันทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ด้วยดี นอกจากนี้ยังมีความจำในการเก็บข้อมูลและการดึงข้อมูลมาใช้ในการแก้ปัญหาได้ทันท่วงที
จากลักษณะดังกล่าว องค์การที่บริหารตนเองจึงประกอบด้วยแนวคิดที่สำคัญ คือ
1. การตัดสินใจขององค์การ เนื่องจากการตัดสินใจขององค์การเป็นการประมวลผลข้อมูลข่าวสารขององค์การ (Information Processing)
2. การเรียนรู้ขององค์การ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ขององค์การให้สูงขึ้น
9. ให้บอกถึงความหมายของโครงสร้างองค์การ
ตอบ โครงสร้างองค์การเป็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแผนภูมิโครงสร้างขององค์การ (Organization Chart) โดยเป็นสิ่งที่แสดงถึงกิจกรรมและกระบวนการทั้งหมดภายในองค์การดังนี้
1) โครงสร้างองค์การเป็นสิ่งอธิบายถึงการจัดสรรงานและความรับผิดชอบของบุคคลและหน่วยงานทั้งองค์การ
2) โครงสร้างองค์การกำหนดความสัมพันธ์ในการรายงานที่เป็นทางการ รวมทั้งจำนวนลำดับชั้นของสายการบังคับบัญชา และช่วงการควบคุม (Span of control) ของผู้บริหารในแต่ละคน
3) โครงสร้างองค์การจัดกลุ่มของบุคคลที่อยู่ในหน่วยงาน และจัดกลุ่มหน่วยงานภายในองค์การ
4) โครงสร้างองค์การรวมถึงการออกแบบระบบที่จะใช้เป็นหลักประกันของความมีประสิทธิผลในการติดต่อสื่อสาร การประสานงาน และความร่วมมือทั้งในแนวนอนและแนวดิ่ง
หลักการออกแบบโครงสร้างองค์การ
หลักการออกแบบโครงสร้างองค์การ ได้แก่ หลักแบ่งงานกันทำ การแบ่งโครงสร้างหน่วยงานภายใน ช่วงการควบคุมและการมอบหมายอำนาจหน้าที่
10. การวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างการบริหารแผนมีลำดับขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร
ตอบ วิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างการบริหารแผน
การวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้างการบริหารแผนมีลำดับขั้นตอนย่อยในการปฏิบัติดังนี้
ลำดับที่ 1 วิเคราะห์และวินิจฉัยองค์การ การวิเคราะห์และวินิจฉัยองค์การเป็นการสรุปหาปัญหาและสาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารแผน
1) ผลกระทบจากการออกแบบโครงสร้าง ได้แก่ ความซับซ้อนไม่ชัดเจนระยะเวลาทำงาน
นาน ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมีน้อย จุดมุ่งหมายของงานไม่ชัดเจน
2) ผลกระทบจากพฤติกรรมกลุ่ม ได้แก่การทำกิจกรรม การสื่อสารความขัดแย้ง บทบาทของ
สมาชิก และบรรทัดฐานกลุ่ม
3) ผลกระทบจากโครงสร้างขาดระบบการให้คำปรึกษา ได้แก่ การปรึกษาการบริหารแผน
4) ผลกระทบจากสังคม ได้แก่ อิทธิพลระหว่างองค์การและอิทธิพลจากสภาพแวดล้อม
5) ผลกระทบจากเครือข่ายทางสังคม ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่มองค์การและ
การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
6) ผลกระทบจากความไม่สมดุลขององค์การ ได้แก่ แรงต้านความเคลื่อนไหว
ลำดับที่ 2 กำหนดตำแหน่งองค์การให้ตรงและสอดคล้องกับขั้นตอนที่ 2
ลำดับที่ 3 นำโครงสร้างจากขั้นตอนที่ 2 มากำหนดรูปแบบการบริหารแผน